Passive Income หรือการมีรายได้แบบไม่ต้องทำงานประจำ เป็นวิธีสร้างรายได้ที่ส่วนใหญ่เป็นการทำงานรอบเดียวแล้วได้ผลตอบแทนจากมันแบบทบต้นไปเรื่อยๆ จนมีอิสรภาพทางการเงินในที่สุด การมี Passive Income พร้อมๆกันหลายช่องทางจะช่วยให้เราบรรลุเป้าหมายได้ไวขึ้น
ในโลกนี้มีหลายประเภทของ Passive Income ซึ่งสามารถแบ่งออกเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ได้ดังนี้:
- การลงทุนในตลาดการเงิน
สำหรับการลงทุนชนิดนี้ เราจำเป็นต้องมีความรู้ในสินทรัพย์แต่ละประเภท เนื่องจากความเสี่ยงของสินทรัพย์แต่ละประเภทไม่เท่ากัน รวมถึงความรู้ในการจัดพอร์ตการลงทุน
การเลือกหุ้นพื้นฐานดี รายได้โต กำไรโตต่อเนื่อง มีปันผลสม่ำเสมอ ถือเป็นทางเลือกที่ฉลาด แต่คนที่มีความรู้ถึงขั้นเลือกหุ้นเป็น แล้วถือยาวและไม่เจ๊งในระยะยาว มีเพียงแค่ส่วนน้อยเท่านั้น การที่เราจะเป็นคนส่วนน้อยได้ เราต้องอ่านหรือเสพคอนเทนต์เกี่ยวกับการลงทุนให้เยอะๆ จนกลายเป็นเรื่องธรรมดา แล้วลองผิดลองถูกด้วยเงินจำนวนน้อยๆก่อน จนกว่าจะจับทางได้ แล้วค่อยลงเงินก้อนใหญ่ในที่สุด
ตัวอย่าง
- การลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผล
- การลงทุนในกองทุนรวมที่จ่ายปันผล
- การลงทุนในพันธบัตรรัฐบาล
- การลงทุนใน ETFs (Exchange-Traded Funds)
- อสังหาริมทรัพย์
การลงทุนอสังหา นอกจากจะต้องมีทุนแล้ว เราต้องมีความรู้พื้นฐานในการเลือกทำเล เช่น เดินทางสะดวก หรือใกล้รถไฟฟ้า ถ้าจะปล่อยเช่า เราต้องร่างสัญญาเป็นในลักษณะที่ทำให้เราได้เปรียบผู้เช่า หรือควรมีคอนเนคชั่นกับช่างไฟ ช่างประปา ช่างประตูหรือช่างก่อสร้างด้วย แต่การปล่อยเช่าอสังหา ผมรู้สึกว่ามันไม่ค่อยเป็น Passive Income เท่าไหร่นักเพราะเราต้องคอยซ่อมแซมบ้านของเราเป็นระยะๆ หรือหาผู้เช่าใหม่กรณีผู้เช่าเดิมยกเลิกสัญญา เราไม่สามารถปล่อยมันทิ้งไปเลยยาวๆได้
ตัวอย่าง
- การให้เช่าอพาร์ตเมนต์หรือบ้าน
- การลงทุนใน REITs (Real Estate Investment Trusts)
- การให้เช่าพื้นที่จอดรถหรือโกดังเก็บของ
- ธุรกิจออนไลน์
ส่วนตัวผมทำธุรกิจนี้อยู่ แต่ยังทำไม่ครบทุกช่องทาง ธุรกิจนี้มีข้อดีคือ เราไม่จำเป็นต้องมีทุนเยอะ เราก็สามารถเริ่มได้เลย และโอกาสเจ๊งมีน้อยมากถ้าเราเน้นขายบริการมากกว่าขายสินค้า
- การขายสินค้าบน e-commerce platforms
- การทำ affiliate marketing
- การสร้าง blog หรือ YouTube channel ที่มีรายได้จากโฆษณา
- การขาย e-books หรือคอร์สออนไลน์
- การให้เช่าทรัพย์สินส่วนตัว
ธุรกิจนี้เหมาะกับคนมีทุนหนา เนื่องจากเราต้องลงทุนเงินก้อนไปก่อน แล้วค่อยเก็บค่าเช่าจากผู้เช่า ความเสี่ยงของธุรกิจนี้คือ ทรัพย์สินของเรามีค่าเสื่อมราคา เช่น ถ้าเราจอดรถทิ้งไว้เฉยๆ มูลค่าของรถก็จะลดลงตามระยะเวลาที่ผ่านไป ธุรกิจนี้เหมาะกับคนที่มีทรัพย์สินเยอะอยู่แล้ว แล้วอยากจะให้มันทำเงินให้ในขณะที่เราไม่ได้ใช้มัน
- ตัวอย่าง
- การให้เช่ารถยนต์
- การให้เช่าอุปกรณ์ต่างๆ เช่น อุปกรณ์ก่อสร้าง รถเครน
- การสร้างทรัพย์สินทางปัญญา
ธุรกิจนี้ถือเป็น Passive Income ระยะยาวเพราะลิขสิทธิ์มีอายุนานหลายสิบปีตามกฎหมาย แม้ว่าตัวเราจะตายไปแล้ว คนในครอบครัวเราก็จะได้เงินจากมัน เราสามารถส่งต่อมันเป็นมรดกให้ลูกได้ด้วย
- ตัวอย่าง
- การเขียนหนังสือ
- การเขียนเพลงหรือสร้างทำนองดนตรี
- การจดสิทธิบัตรสิ่งประดิษฐ์
แต่ละประเภทของ Passive Income มีข้อดีและข้อเสียแตกต่างกันไป ทั้งในแง่ของเงินลงทุนเริ่มต้น ความเสี่ยง และผลตอบแทนที่คาดหวัง ผู้ที่สนใจควรศึกษาข้อมูลอย่างละเอียดและพิจารณาความเหมาะสมกับสถานการณ์ทางการเงินและเป้าหมายของตนเองก่อนตัดสินใจลงทุน
การสร้าง Passive Income ไม่ได้หมายความว่าจะไม่ต้องทำงานเลย แต่หมายถึงการลงแรงในช่วงแรกเพื่อสร้างระบบหรือผลิตภัณฑ์ที่สามารถสร้างรายได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว โดยใช้เวลาและแรงงานน้อยลงในภายหลัง
หวังว่าบทความนี้จะช่วยให้ทุกคนเข้าใจภาพรวมของประเภท Passive Income ต่างๆนะครับ
สนใจอีบุ๊ค สั่งซื้อได้ที่ลิงก์ https://peyconsulting.com/shop/