ถ้าประเทศเกิดสงคราม ใครต้องไปรบบ้าง?

ทหารรบกับพลร่มของข้าศึก

หลายคนอ่านข่าวเกี่ยวกับสงครามระหว่างอิสราเอลกับฮามาสที่นับวันจะทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ จนยากที่จะคาดเดาว่ามันจะไปจบที่ตรงไหน แล้วจะเกิดสงครามโลกครั้งที่3หรือเปล่า

ปัจจุบันความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาสยังคงดำเนินอยู่ แต่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะบานปลายกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ด้วยเหตุผลเหล่านี้:

  1. ความขัดแย้งนี้จำกัดอยู่เฉพาะในภูมิภาคตะวันออกกลางเท่านั้น ยังไม่ได้ลุกลามไปยังภูมิภาคอื่นๆ ของโลก
  2. มหาอำนาจใหญ่ๆ ในโลก เช่น สหรัฐอเมริกา รัสเซีย จีน ยุโรป ยังคงพยายามคงไว้ซึ่งสันติภาพและไม่เข้าไปยุ่งเกี่ยวโดยตรง
  3. ทั้งอิสราเอลและฮามาสต่างก็มีข้อจำกัดด้านทรัพยากรและความสามารถทางทหารที่จำกัด ไม่สามารถขยายขอบเขตของสงครามได้อย่างกว้างขวาง

ดูจากภาพรวมแล้ว แม้ความขัดแย้งระหว่างอิสราเอลและฮามาสจะมีความรุนแรง แต่ยังไม่มีแนวโน้มที่จะบานปลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 3 ในตอนนี้ แต่เราก็ยังคงต้องติดตามสถานการณ์อย่างใกล้ชิดต่อไป

ถ้าเป็นการกระทบกระทั่งกันเล็กน้อยตามตะเข็บชายแดน เช่น บริเวณเขาพระวิหาร จังหวัดศรีสะเกษ แบบนี้ถือว่ายังไม่ใช่สงครามใหญ่ที่ไทยเข้าไปเป็นคู่ขัดแย้ง และคนที่จะไปป้องกันประเทศเป็นกลุ่มแรกหากมีการกระทบกระทั่งกันในกรณีนี้คือ ทหารพรานนี่แหละ

ส่วนเหตุการณ์สงครามกลางเมืองเมียวดีในพม่าที่มีเหตุระเบิดบริเวณบ้านห้วยสร้าง อำเภอแม่สอด จังหวัดตาก กำลังเป็นที่จับตามองเรื่องประเด็นทางมนุษยธรรม

กรณีนี้มีความเป็นไปได้ค่อนข้างต่ำที่จะทำให้ไทยเข้าไปเกี่ยวข้องจนเกิดเป็นสงครามกับพม่า ด้วยเหตุผลเหล่านี้:

  1. ไทยและพม่ามีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน และพยายามรักษาความสงบบริเวณพรมแดนร่วมกัน
  2. ไทยมีนโยบายเน้นการรักษาความเป็นกลางและหลีกเลี่ยงการเข้าไปยุ่งเกี่ยวในความขัดแย้งระหว่างประเทศอื่น หากไม่มีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของไทย
  3. ไทยและพม่ามีความร่วมมือด้านเศรษฐกิจการค้าที่ค่อนข้างแน่นแฟ้น จึงไม่น่าจะปล่อยให้ความขัดแย้งทางการทหารเกิดขึ้นระหว่างกัน

แม้ว่าจะมีความขัดแย้งและสงครามในเมืองเมียวดีของพม่า แต่ก็ยังไม่มีแนวโน้มที่จะทำให้ไทยต้องเข้าไปเกี่ยวข้องและทำสงครามกับพม่าในขณะนี้ เว้นแต่จะมีเหตุการณ์ที่มีผลกระทบโดยตรงต่อความมั่นคงของไทยเกิดขึ้น

แต่จากข่าวล่าสุดบริเวณชายแดนจังหวัดตากที่ติดกับเมืองเมียวดีของพม่า ล่าสุดรัฐบาลเมียนมา ประสานไทยเพื่อขอเครื่องบินทหารลงจอดที่บริเวณท่าอากาศยานแม่สอด เพื่อรับทหารของเมียวดีที่ลี้ภัยมาในช่วงวันที่ 7-9 เมษายนที่ผ่านมา ทำให้หลายคนวิเคราะห์เกี่ยวกับเหตุการณ์นี้ถึงท่าทีของไทยต่อรัฐบาลทหารพม่าและกลุ่มต่อต้านว่าเหมาะสมหรือไม่ ทำให้เกิดประเด็นทางศีลธรรมเกิดขึ้น

ดูทรงแล้วประเทศไทยมีแนวทางคงความเป็นกลางและพยายามมีสัมพันธ์ที่ดีกับทั้งฝ่ายรัฐบาลทหารและกลุ่มต่อต้านในพม่า ตามรายละเอียดดังนี้:

  1. ไทยยังคงรักษาความสัมพันธ์ทางการทูตและการค้าการลงทุนกับรัฐบาลทหารพม่า แต่ก็ได้แสดงท่าทีต่อต้านการใช้ความรุนแรงและการละเมิดสิทธิมนุษยชนของรัฐบาลทหาร
  2. ในขณะเดียวกัน ไทยก็พยายามสร้างความสัมพันธ์และเปิดช่องทางการสื่อสารกับกลุ่มต่อต้านรัฐบาลทหาร เพื่อส่งเสริมสันติภาพและแสวงหาทางออกที่ยุติธรรม
  3. ไทยเน้นย้ำการคงบทบาทเป็นผู้ช่วยเหลือด้านมนุษยธรรม และเป็นตัวกลางในการเจรจาหาทางออกที่สันติ โดยไม่ฝักใฝ่ฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

ในภาพรวม ไทยจึงพยายามดำรงความเป็นกลางและสร้างสมดุลระหว่างความสัมพันธ์กับทั้งรัฐบาลทหารและกลุ่มต่อต้านในพม่า เพื่อรักษาผลประโยชน์และความมั่นคงของไทยเป็นสำคัญ แต่ก็พร้อมที่จะแสดงท่าทีต่อต้านการละเมิดสิทธิมนุษยชนอย่างชัดเจน

กลับมาที่เรื่องสงคราม สมมุติว่าเกิดสงครามขึ้นจริง ประเทศไทยอาจถูกบังคับให้เลือกข้างว่าจะอยู่ฝ่ายไหน และจะต้องเกณฑ์คนไปช่วยรบในที่สุด คำถามคือ ถ้าประเทศเกิดสงคราม ใครต้องไปรบบ้าง?

ถ้าเกิดสงครามโลกขึ้นจริงและประเทศไทยต้องเข้าร่วมสงคราม การประกาศสงครามจะเป็นไปตามกฎหมายและมีขั้นตอนตามนี้:

  1. จัดตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อความมั่นคง
    • เมื่อเกิดสถานการณ์วิกฤต คณะรัฐมนตรีจะมีคำสั่งแต่งตั้งคณะกรรมการแห่งชาติเพื่อความมั่นคง ประกอบด้วยผู้บริหารระดับสูงจากหน่วยงานที่เกี่ยวข้อง เช่น กระทรวงกลาโหม กระทรวงการต่างประเทศ และสำนักงานสภาความมั่นคงแห่งชาติ
  2. ประเมินสถานการณ์และตัดสินใจเข้าร่วมสงคราม
    • คณะกรรมการแห่งชาติเพื่อความมั่นคงจะทำการประเมินสถานการณ์ทางการเมืองและทหารอย่างละเอียด ก่อนเสนอข้อมูลและข้อเสนอแนะต่อคณะรัฐมนตรี
  3. คณะรัฐมนตรีพิจารณาและลงมติ
    • คณะรัฐมนตรีจะพิจารณาข้อมูลและข้อเสนอแนะจากคณะกรรมการแห่งชาติฯ ก่อนลงมติว่าควรเข้าร่วมสงครามหรือไม่ ซึ่งต้องได้รับคะแนนเสียงสนับสนุนไม่น้อยกว่า 2 ใน 3 ของที่ประชุม
  4. การประกาศสงครามโดยพระราชโองการ
    • หากคณะรัฐมนตรีมีมติให้เข้าร่วมสงคราม พระมหากษัตริย์จะทรงลงพระปรมาภิไธยในพระราชโองการประกาศสงคราม เพื่อให้มีผลบังคับใช้ทันที

หลังจากประกาศสงครามแล้ว ทางกองทัพจะเรียกคนเหล่านี้ไปช่วยรบ:

  1. ทหารกองประจำการ ตั้งแต่ทหารเกณฑ์ไปจนถึงทหารยศพลเอก
  2. อดีตทหารเกณฑ์
  3. คนที่เรียนจบหลักสูตรรักษาดินแดน (รด.) ตั้งแต่ปีที่ 3 ขึ้นไป
  4. พลเรือนชายไทยอายุ 18-45 ปี โดยจะเริ่มจากผู้มีอายุน้อยที่สุดก่อน
  5. สำหรับพลเรือนหญิงไทย หากสมัครใจก็ไปช่วยรบได้ แต่ก่อนจะลงสนาม ทางกองทัพจะรับตัวไปฝึกก่อน

แต่ก็จะมีข้อยกเว้นตามกฎหมายสำหรับคนบางกลุ่มที่ไม่ต้องไปรบ เช่น คนพิการ หรือพระที่ได้เปรียญธรรม

ถ้าประเทศเราเกิดสงคราม ใครต้องไปรบบ้าง? https://www.youtube.com/shorts/sjy1RPU8Jrs?feature=share

สนใจซื้ออีบุ๊ค คู่มือเกณฑ์ทหารโดย(ไม่)สมัครใจ คลิกลิงก์ https://peyconsulting.com/shop/

เป้ แนะแนว
เป้ แนะแนว

เป้ แนะแนวจบปริญญาตรีจากคณะบัญชี จุฬาฯ มีประสบการณ์ทำงานด้านไอทีออดิทมากว่าสิบปีในบริษัทบิ๊กโฟร์อย่าง KPMG กับ Deloitte จนเป็น Certified Information Systems Auditor (CISA) เคยเป็นทหารเกณฑ์ ปัจจุบันเป็นเน็ตไอดอลช่องติ๊กต่อกเป้ แนะแนวการศึกษาและอาชีพ และเจ้าของเพจรีวิวซีรีส์เกาหลีอย่าง Netflix Addict

Articles: 63

Leave a Reply

Your email address will not be published. Required fields are marked *