การเทรดหุ้นเป็นความฝันของใครหลายคนที่จะหากระแสเงินสดมาใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน แต่นักเทรดมือใหม่หลายคนอาจสงสัยว่าเราควรเรียนคณะอะไรดีเพื่อเสริมทักษะและความรู้ในการเทรดหุ้น
น่าเสียดายที่ตอนนี้ยังไม่มีคณะไหนหรือมหาลัยไหนในประเทศไทยที่สอนเทรดหุ้นอย่างเป็นเรื่องเป็นราว อย่างมากก็สอนให้เรารู้จักอินดิเคเตอร์ต่างๆ เช่น MACD, RSI, รูปแบบแท่งเทียนหรือ Volume
ซึ่งในชีวิตจริง นักเทรดที่จะอยู่รอดในตลาดหุ้นได้ในระยะยาว ต้องมีความรู้เรื่องพวกนี้
- วิธีดู ticker เพื่อจับจังหวะว่า เจ้ามือกำลังจะลากหุ้นเมื่อไหร่ อันไหนลากจริง อันไหนลากหลอกเพื่อพาเม่าไปดอย
- วิธีดู bid-offer เช่น bid บาง offer หนา หรือ offer หนา bid บาง แปลว่าอะไร อันไหนเจ้ามือกำลังหลอกให้ซื้อ อันไหนเจ้ามือหลอกให้ขาย
- การตัดสินใจซื้อ-ขายจากรูปแบบกราฟเทคนิคต่างๆ เช่น ascending triangle, descending triangle, cup and handle
- วิธีการใช้ Fibonacci Retracement เช่น ถ้าราคาหุ้นตกลงมาที่บริเวณ 61.8, 88.7 เราจะต้องตัดสินใจยังไงต่อ
- วิธีดูแท่งเทียนแต่ละประเภท เช่น แท่งเทียนแบบเข็มฉีดยา อันตรายยังไง
- การกำหนดจุดคัทลอส
- การกำหนด Risk and Reward Ratio
- การแบ่งไม้ขายทำกำไร
- Money Management
- การกำหนด Position Sizing
- ศาสตร์ของการเดย์เทรดทำยังไง สวิงเทรดทำยังไง รันเทรนด์ทำยังไง
น่าเสียดายที่ความรู้เหล่านี้ยังไม่มีการสอนอย่างจริงจังในมหาวิทยาลัยในไทย ถ้าเราอยากจะเรียนเรื่องพวกนี้ เราต้องไปเรียนตามสถาบันสอนเทรดต่างๆ เช่น บริษัท Super Trader Republic หรือบริษัทคู่แข่งอย่าง Future Universe
ในประเทศไทย มีหลายคณะที่เปิดสอนวิชาเกี่ยวกับการเงิน การลงทุน และตลาดทุน แต่ส่วนใหญ่จะเป็นแนวการลงทุนเน้นคุณค่าหรือแนววีไอที่ใช้วิธีประเมินมูลค่าพื้นฐานกิจการจากการวิเคราะห์งบการเงิน ซึ่งอาจจะเป็นประโยชน์ต่อนักลงทุน ดังนี้
1. คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี
- สอนบันทึกบัญชี จัดทำ-อ่าน-วิเคราะห์งบการเงิน
- เราจะได้เรียนรู้พื้นฐานสำคัญที่จำเป็นสำหรับการวิเคราะห์หุ้นและตัดสินใจลงทุน
2. คณะบริหารธุรกิจสาขาการเงิน
- สอนการจัดทำโมเดลทางการเงิน เช่น การประเมินกระแสเงินสดในอนาคต (Discounted Cashflow – DCF) เพื่อดูว่าราคาหุ้นปัจจุบันถูกหรือแพง นำไปสู่การตัดสินใจซื้อขายหุ้น
- นักศึกษาจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับกลยุทธ์ทางธุรกิจ การเงิน การวิเคราะห์ข้อมูล ทักษะการสื่อสาร และทักษะการคิดวิเคราะห์ซึ่งล้วนเป็นทักษะที่จำเป็นสำหรับนักลงทุน
3. คณะเศรษฐศาสตร์
- เน้นการศึกษาเกี่ยวกับทฤษฎีเศรษฐศาสตร์ เศรษฐกิจมหภาค เศรษฐกิจจุลภาค นโยบายการเงิน การค้าระหว่างประเทศ
- เราจะได้เรียนรู้เกี่ยวกับปัจจัยเศรษฐกิจต่างๆ ที่มีผลต่อตลาดหุ้น เช่น การฉีด QE ของเฟด, เงินเฟ้อ, เงินฝืด, การหมุนของเงินในระบบเศรษฐกิจ, inverted yield curve มีผลต่อ recession อย่างไร, สูตรการคำนวณ GDP
- ซึ่งจะช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าใจภาพรวมของเศรษฐกิจและคาดการณ์ทิศทางของตลาดได้ดียิ่งขึ้น
- นักลงทุนหุ้นคุณค่าในปัจจุบันมี2สาย สายแรกจะนำปัจจัยทางเศรษฐกิจมาช่วยในการพิจารณาซื้อ-ขายหุ้น ส่วนอีกสายจะเป็นแนว bottom-up ซึ่งจะไม่สนใจปัจจัยทางเศรษฐกิจแต่จะสนใจพื้นฐานของกิจการเป็นหลัก
4. คณะวิศวกรรมศาสตร์สาขาวิศวกรรมการเงิน
- มีการสอนเขียนโปรแกรมด้วย
- คณะนี้สอนภาพรวมคล้ายๆคณะบริหารการเงินและเศรษฐศาสตร์ แต่จะมีการจัดทำโมเดลทางการเงินซึ่งสามารถนำมาประยุกต์ใช้ในการพัฒนาโปรแกรมวิเคราะห์หุ้น หรือสร้างกลยุทธ์การเทรดแบบอัตโนมัติ (Algorithmic Trading) ต่อไป
นักลงทุนที่มีความรู้ทั้งเรื่องการวิเคราะห์มูลค่าพื้นฐานของกิจการและรู้เรื่องกราฟเทคนิคด้วยถือว่าได้เปรียบมาก และคนที่มีความรู้เรื่องจิตวิทยาการเทรด การควบคุมความโลภ-ความกลัวในจิตใจของเรา จะเป็นเหมือนเสือติดปีก เพราะจะได้เปรียบนักลงทุนส่วนใหญ่90%ที่เป็นแมลงเม่าบินเข้ากองไฟที่มักจะไหลตามกระแสของคนส่วนใหญ่ ทำให้ตัดสินใจซื้อหุ้นที่ราคาสูง แล้วไปขายหุ้นที่ราคาต่ำเป็นประจำ
นอกจากการเลือกเรียนคณะที่เหมาะสมแล้ว นักลงทุนยังควร:
- ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับตลาดหุ้น กลยุทธ์การเทรด และเครื่องมือวิเคราะห์ต่างๆ
- ฝึกฝนการเทรดหุ้นผ่านบัญชี Demo หรือลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อยก่อน
- พัฒนาการคิดวิเคราะห์ ทักษะการตัดสินใจ และวินัยในการลงทุน
- ติดตามข่าวสารและความเคลื่อนไหวทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม
- เข้าร่วมกลุ่มนักลงทุน เช่น สมาคมนักลงทุนหุ้นคุณค่า หรือสถาบันสอนเทรดต่างๆ เพื่อแลกเปลี่ยนประสบการณ์และเรียนรู้จากผู้อื่น
การเทรดหุ้น เป็นกิจกรรมที่มีความเสี่ยง นักลงทุนควรศึกษาข้อมูล เรียนรู้กลยุทธ์ ฝึกฝนทักษะ และมีวินัยในการลงทุน เพื่อเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จต่อไป
สั่งซื้ออีบุ๊ค: